ดีเอสไอจับสินค้าปลอมย่านถนนเสือป่า

25/9/58
เมื่อ 25 ก.ย.2558

ดีเอสไอ แถลงผลการจับกุมผู้จำหน่ายอุปกรณ์เสริมมือถือปลอม และสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์​ อาทิ แบตเตอรี่สำรอง เคส หน้ากากมือถือ กว่า 2 หมื่นชิ้น มูลค่ากว่า 10 ล้านบาทจากร้านค้าย่านถนนเสือป่า ตามนโยบายรัฐบาล
Read more ...

สน.ปทุมวัน จับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุคดีวิ่งราวทรัพย์

16/9/58
เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2558 เวลา 11.30 น. กองบัญชาการตำรวจนครบาล ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น., พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช, พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ, พล.ต.ต. ฉันทวิทย์ รามสูต, พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง, พล.ต.ต.เฉลิมพันธุ์ อจลบุญ, พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข, พล.ต.ต.นิพนธ์ เจริญผล, พล.ต.ต.ทวิชชาติ พละศักดิ์รอง ผบช.น. ได้เร่งรัดติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องตลอดมา

กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ภายใต้การอำนวยการโดย พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6, พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน, พ.ต.อ.สินมนูญ์ พุทธิกุล รอง ผบก.น.6, เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน โดย พ.ต.อ.จารุต ศรุตยาพร ผกก.สน.ปทุมวัน , พ.ต.ท.อาทิตย์ ซิ้มเจริญ รอง ผกก.สส.สน.ปทุมวัน, พ.ต.ท.ภูเมศ อั๊งสุวรรณกูล, พ.ต.ท. บุญฤทธิ์ เสียงใส สว.สส.สน.ปทุมวัน พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.6 ได้ร่วมกันทำการจับกุม

1. นายกิติศักดิ์หรือก้อง จุ้ยเจริญ อายุ 24 ปี อยู่ที่ 515/164 ตรอกวัดจันทร์ใน แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกจับที่ 1) ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.610/2558 ลงวันที่ 12 กันยายน 2558

2. นายวิษณุหรือพีท (เหยิน) เรืองเดช อายุ 25 ปี อยู่ที่ 3 ม.6 ต.บางปลา อ.บางเลน จว.นครปฐม หมา(ผู้ถูกจับที่ 2) ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.609/2558 ลงวันที่ 12 กันยายน 2558

พร้อมของกลาง

1. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ โซนี่อีริคสัน รุ่นเอ็กซ์พีเรีย สีขาว จำนวน 1 เครื่อง

2. รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น เวฟ110 สี ขาว-ดำ หมายเลขทะเบียน 2กค-9728 กทม.

3. หมวกนิรภัยแบบครึ่งใบ สีเทา จำนวน 1 ใบ

4. เสื้อแจ็ตเก็ตสีครีม จำนวน 1 ตัว

5. เสื้อยืดสีดำ สกรีน BODY GLOVE จำนวน 1 ตัว

6. กางเกงขาสั้นลายขาวแดง จำนวน 1 ตัว

7. รองเท้าผ้าใบสีขาว ยี่ห้อ K-SWISS จำนวน 1 คู่

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือเพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม”

วันเวลา สถานที่เกิดเหตุ วันที่ 29 สิงหาคม 2558 เวลาประมาณ 15.30 น. ภายในบริเวณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ

วันเวลา สถานที่ จับกุม
1) วันที่ 14 กันยายน 2558 เวลา 14.30 น. จับกุมนายกิติศักดิ์ฯที่ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ถ.สมเด็จพระเจ้าตากสิน แขวงบุคคลโล เขตธนบุรี กทม.

2) วันที่ 14 กันยายน 2558 เวลาประมาณ 17.00 น.จับกุมตัวนายวิษณุฯที่ งามปัญจะอพาร์ทเม้นท์ แยกหนองใหญ่ ถ.บางแค แขวงบางแค เขตบางแค กทม.

พฤติการณ์กล่าวคือ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2558 เวลาประมาณ 15.30 น. ขณะที่ นางนันทนา บรรเจิดพงศ์ชัย (ผู้เสียหาย) ขี่รถจักรยานอยู่ภายในบริเวณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีคนร้ายจำนวน 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ สวมหมวกนิรภัยทั้ง 2 คน ก่อเหตุวิ่งราวเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายซึ่งวางอยู่บริเวณตระกร้าหน้ารถจักรยานแล้วหลบหนีไป และผู้เสียหายได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน

ซึ่งหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน และ กก.สส.บก.น.6 ได้ร่วมกันตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พร้อมตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทาง ก่อเหตุและเส้นทางหลบหนีของคนร้าย จนสามารถได้ภาพตำหนิรูปพรรณคนร้ายทั้ง 2 คน และยานพาหนะที่ใช้ในการก่อเหตุอย่างชัดเจน จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอหมายจับคนร้ายต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามหมายจับที่ 609/2558 และ 610/2558 ลงวันที่ 12 กันยายน 2558 ตามลำดับ

ต่อมา ในวันที่ 14 กันยายน 2558 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน และ กก.สส.บก.น.6 ได้สืบสวนทราบว่า คนร้ายที่ปรากฏตามภาพวงจรปิดดังกล่าว คือ นายวิษณุหรือพีท(เหยิน) เรืองเดช และ นายกิติศักดิ์หรือก้อง จุ้ยเจริญ โดยนายวิษณุฯทำหน้าที่เป็นผู้ขับขี่ ส่วนนายกิติศักดิ์ฯเป็นคนซ้อนท้าย จึงได้ออกสืบสวนติดตามจนสามารถจับกุมตัวนายกิตติศักดิ์ฯได้ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ถ.สมเด็จพระเจ้าตากสิน แขวงบุคคลโล เขตธนบุรี กทม. และสามารถติดตามขยายผลจับกุมตัวนายวิษณุฯได้ที่งามปัญจะอพาร์ทเม้นท์ แยกหนองใหญ่ ถ.บางแค แขวงบางแค เขตบางแค กทม. ตามลำดับ โดยสามารถตรวจยึด รถจักรยานยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุและเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่สวมใส่ในวันที่เกิดเหตุได้ด้วย จากการสอบถาม นายกิติศักดิ์ฯและนายวิษณุฯได้ให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันก่อเหตุจริง โดยได้นำเอาโทรศัพท์มือถือที่วิ่งราวได้ไปขายในราคา 3,500 บาท จากนั้นนำเงินทีได้มาแบ่งกัน

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นายวิษณุฯและนายกิติศักดิ์ฯ มีประวัติต้องโทษคดียาเสพติด คนละ 2 ครั้ง ในห้วงปี 2551-2553 และต่อมาได้ร่วมกันก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ในพื้นที่ สน.วัดพระยาไกร และถูกจับกุมตัวดำเนินคดีเมื่อปี 2554 ซึ่งนายวิษณุฯพ้นโทษออกมาก่อนในช่วงเดือนพฤษภาคม 2558 ส่วนนายกิติศักดิ์ฯพ้นโทษออกมาต้นเดือนสิงหาคม 2558 ซึ่งหลังจากพ้นโทษออกมา นายวิษณุฯได้ร่วมกันกับนายกิติศักดิ์ฯก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์สินในพื้นที่ สน.ปทุมวัน, สน.บางรัก, สน.ทุ่งมหาเมฆ, สน.พลับพลาไชย 2 รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง (อยู่ระหว่างการตรวจสอบและติดตามผู้เสียหาย)ก่อนจะถูกจับกุมตัวในครั้งนี้ โดยที่ ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด จะนำไปจำหน่ายมาแบ่งกันคนละครึ่งทุกครั้ง

ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
Read more ...

จับหนุ่มอ้างตัวเป็น ร.ต.อ.จีบสาว แฟนสาวคบ 2 ปี ยังไม่รู้

16/9/58
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2558

พ.ต.ท.ศรายุทธ ใจกำแหง สว.กก.สส.ภ.จว.อุบลราชธานี  ได้นำกำลังเข้าจับกุม

นายณัฐวุฒิ หรืออาร์ม กันตะบุตร อายุ 41 ปี ชาว จ.อุบลราชธานี 

พร้อมของกลาง

- บัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจ ระบุชื่อ ร.ต.อ.ชัยวัฒน์ วิเศษดี ตำแหน่ง รอง สว.กก.ปพ.บก.สส.ตชด.22 สังกัดกองกำกับการ ตชด. 22 อุบลราชธานี จำนวน 2 ใบ
- ใบอนุญาตให้เป็นทนายความ เลขที่ 325/2547 ระบุชื่อ นายสนิท ศรีพรหม
- ชุดข้าราชการตำรวจ
- วิทยุสื่อสาร และ
- อาวุธปืนปลอม

จับกุมที่หอพักในเมืองอุบลราชธานี

สืบเนื่องจากตำรวจได้รับแจ้งจากผู้เสียหายหลายรายว่า ได้ถูกนายณัฐวุฒิ อ้างตัวว่าเป็นตำรวจยศ ร.ต.อ. เป็น นรต.รุ่น 60 แต่งเครื่องแบบเต็มยศเข้ามาตีสนิท จนหลงเชื่อ แล้วยินยอมคบหาหลายราย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำกำลังเข้าจับกุม

นายณัฐวุฒิ สารภาพว่า มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ซื้อเครื่องแบบตำรวจมาใส่เพื่อจีบสาวทางเฟซบุ๊ค บางรายหลงเชื่อจนยอมมีความสัมพันธ์ด้วย ตอนนี้ตนคบแฟนทำงานที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี มาได้ 2 ปีแล้ว แต่แฟนยังไม่รู้ว่าตนเองเป็นตำรวจปลอม

ตำรวจจึงแจ้งข้อหา

- สวมเครื่องแบบ เครื่องประดับ เครื่องหมายเจ้าพนักงานโดยไม่มีสิทธิ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ 
- มีวิทยุสื่อสารไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , 
- ปลอมแปลงเอกสารทางราชการ , 
- มีสิ่งเทียมอาวุธปืนไว้ในครอบครอง 

ก่อนส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุบลราชธานี ดำเนินคดี

Read more ...

รวบแก๊งวิ่งราว ใช้ผู้หญิงเป็นมือกระชากสร้อย ‏หาเงินเสริมจมูก

11/9/58
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2558

พ.ต.อ.สมโภช สุวรรณจรัส ผกก.สน.นางเลิ้ง
พ.ต.ท.วันชัย ชูจิตร รอง ผกก.สส.และ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.นางเลิ้ง

ร่วมกับจับกุม 3 ผู้ต้องหา

1. นายธนิต หรือหนุ่ย มีแสง อายุ 22 ปี

2. น.ส.นวพร หรือแอ้ม สิริกุตตา อายุ 23 ปี และ

3. น.ส.ศิริยุพา หรือเบิ้ล พิ้นแสง อายุ 21 ปี


พร้อมของกลาง

- สร้อยคอทองคำ น้ำหนัก 50 สตางค์ 1 เส้น และ
- รถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน ทะเบียน 3กส1112

หลังก่อเหตุตระเวนวิ่งราวทรัพย์

จับกุมได้ที่บริเวณปั้มแก๊ส ถนนบรรทัดทอง แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพฯ

การจับกุมสืบเนื่องจากเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานายธนิตพร้อม น.ส.เต้ย ไม่ทราบนามสกุล ได้ก่อเหตุวิ่งราวสร้อยคอทองคำหนัก 4 บาท ที่บริเวณวงเวียน 22 ในท้องที่ สน.พลับพลาไชย 1 ก่อนหลบหนีไป

ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.นางเลิ้ง ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่าสามารถจับภาพกลุ่มผู้ต้องหาขณะก่อเหตุเอาไว้ได้ จึงทำการสืบสวนกระทั่งพบว่ากลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมดมีพฤติกรรมทำงานกันเป็นทีม โดยใช้ผู้หญิงเป็นคนลงมือกระชากสร้อย จนติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้ดังกล่าว

จากสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุมาแล้ว 4 ครั้ง โดยทุกครั้งนายธนิตจะเป็นคนขี่รถจักรยานยนต์แล้วสลับให้

- น.ส.ศิริยุพา,
- น.ส.นวพร และ
- น.ส.เต้ย

เป็นคนซ้อนท้าย ตระเวนขี่รถจักรยานยนต์วิ่งราวทรัพย์ โดยส่วนใหญ่จะเลือกเหยื่อที่นั่งบนรถสามล้อ จากนั้นจะนำเงินที่ได้มาแบ่งกันกินแล้วเที่ยว

โดย น.ส.ศิริยุพา ซึ่งทำงานอยู่ที่บาร์ญี่ปุ่นย่านสุขุมวิท ต้องการนำเงินไปเสริมจมูก
และตำรวจจะติดตาม น.ส.เต้ย ผู้ต้องหาที่หลบหนีอีก 1 คนมาดำเนินคดีต่อไป

ชมคลิป YOUTUBE เรื่องเล่าเช้านี้
Read more ...

จับมาเฟียสยาม ผู้ต้องหาชาวลาวทำร้ายร่างกาย

11/9/58
เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2558 เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.และ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6, เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน โดย พ.ต.อ.จารุต ศรุตยาพร ผกก.สน.ปทุมวัน, พ.ต.ท.อาทิตย์ ซิ้มเจริญ รอง ผกก.สส.สน.ปทุมวัน, พ.ต.ท.ภูเมศ อั๊งสุวรรณกูล สว.สส.สน.ปทุมวัน, พ.ต.ท.บุญฤทธิ์ เสียงใส สว.สส.สน.ปทุมวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน 
ได้ร่วมกันทำการจับกุม
นายวีระพัน หรือเฒ่า อินทะวง สัญชาติลาว อายุ 38 ปี

โดยกล่าวหาว่า  
- เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต
- ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ

วันเวลา/สถานที่เกิดเหตุ  เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2558 เวลาประมาณ 07.00 น. รถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีหัวลำโพง

วันเวลา/สถานที่จับกุม วันที่ 8 กันยายน 2558 เวลาประมาณ 19.00 น. ห้องปฏิบัติการฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน
พฤติการณ์กล่าวคือ เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2558 เวลาประมาณ 11.00 น. นางสาววัลลภา ตระกูลแพร่หลาย อายุ 23 ปี (ผู้เสียหาย) ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ว่าเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2558 เวลาประมาณ 07.00 น. ขณะที่ผู้เสียหายเดินเข้าภายในรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีหัวลำโพง ได้ถูกคนร้ายเป็นชายจำนวน 1 คน ใช้วาจาพูดข่มขู่และใช้กำลังทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นคนร้ายได้หลบหนีไป  ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้เสียหายได้นำภาพของคนร้ายที่ก่อเหตุไปเผยแพร่ในโลกโซเซียล ปรากฏว่า ได้มีประชาชนจำนวนมากเข้ามาแสดงความเห็นพร้อมแจ้งข้อมูลพฤติกรรมของคนร้ายที่เคยไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณย่านสยามแสควร์ จนได้รับการตั้งฉายาในโลกโซเซียลว่า “ มาเฟียสยาม ” นั้น
   
ต่อมาในวันที่ 8 กันยายน 2558 เวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบสวนทราบว่า มีชายต้องสงสัยลักษณะคล้ายคนร้ายที่ก่อเหตุ ไปปรากฏตัวอยู่ที่บริเวณสถานีรถไฟใต้ดินสุทธิสาร จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ เมื่อไปถึง พบชายจำนวน 1 คน มีลักษณะคล้ายกับชายที่ปรากฏตามภาพวงจรปิด จึงได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจสอบ แต่ชายคนดังกล่าวให้การวกวน จึงได้เชิญตัวมาที่ สน.ปทุมวัน เพื่อทำการตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียด              

เมื่อมาถึง ห้องปฏิบัติการฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน จากการซักถาม ชายคนดังกล่าวให้การยอมรับว่า ชื่อ

นายวีระพัน หรือเฒ่า อินทะวงศ์ อายุ 38 ปี สัญชาติลาว 

ได้หลบหนีเข้ามาพักอาศัยอยู่ในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “ เป็นบุคคลต่างด้าว หลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ” 

และจากการสอบถาม นายวีระพันฯ ยังให้การยอมรับว่า เป็นบุคคลตามภาพถ่ายที่ปรากฏในโซเซียล และก่อเหตุทำร้ายร่างกายผู้อื่นจริง โดยมี นางสาววัลลภา ตระกูลแพร่หลาย ผู้เสียหายชี้ยืนยันตัว

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นายวีระพันฯ ได้ก่อเหตุในลักษณะคล้ายกันกันนี้จำนวน 2 ครั้ง

1) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2558 เวลาประมาณ 14.00 น. นายวีระพันฯ ได้ก่อเหตุลักเอาทรัพย์สินของ น.ส.ศศิวิมล วงศ์มั่น โดยได้ใช้กลอุบายหลอกว่าจ้างให้ น.ส.ศศิวิมลฯ ไปนวดที่โรงแรมบางกอกพาเลส จากนั้น              ได้ออกอุบายทำทีขอยืมโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายไปใช้โทรหามารดาที่ต่างประเทศ จากนั้น ได้อาศัยจังหวะเผลอของผู้เสียหาย ลักเอาโทรศัพท์หลบหนีไป (ท้องที่ สน.พญาไท)

2) เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2558 เวลาประมาณ 16.00 น. นายวีระพันฯ ได้ก่อเหตุใช้ขวดน้ำพลาสติกฟาดที่ใบหน้าของ นายพศวัต บัณดิษฐ์ศิลป์ อายุ 17 ปีเศษ พร้อมพูดจาข่มขู่  เหตุเกิดที่บริเวณ ชั้น 6 หน้าโรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน (ท้องที่ สน.ปทุมวัน)
ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
Read more ...

191 รวบ “โจรร้อยเสียง” สุ่มเบอร์ตุ๋นเหยื่อมา 4 ปี สำเร็จมากกว่า 50 ราย

10/9/58

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2558 ที่งานสายตรวจ 3

พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผบก.สปพ.
พ.ต.อ.สำราญ นวลมา ผกก.สายตรวจ 
พ.ต.ท.รัฐชตุตม์ วัชรโกมลมาศ รอง ผกก.สายตรวจ 
พ.ต.ต.ปียรัช เวสสะโกศล สว.งานสายตรวจ 3 

ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม

นางวิเชียร ชูนาม อายุ 35 ปี

ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 1890/2558 ลงวันที่ 27 ส.ค. 2558

ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น

สามารถจับกุมตัวได้ ที่ด้านหน้าอาคาร 29 บ้านเอื้ออาทรหทัยราษฎร์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2558

พลตำรวจตรี ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กล่าวว่า ตำรวจได้รับแจ้งจากทางผู้เสียหายผ่านทางแอ­พพลิเคชั่น ตามโครงการ “You will never walk alone“ ว่าถูกนางวิเชียร โทรศัพท์เข้ามาแอบอ้างเป็นเพื่อนสนิท แล้วออกอุบายให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญช­ีของผู้ต้องหา ตำรวจจึงทำการสืบสวน

จนทราบว่านางวิเชียร เคยก่อเหตุในลักษณะนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ครั้ง และยังเคยถูกตำรวจนครบาลคลองตัน จับดำเนินคดีในลักษณะคล้ายคลึงกันและเพิ่ง­พ้นโทษมาได้ไม่นาน แต่กลับมาก่อเหตุซ้ำอีกไม่ต่ำกว่า 20 คดี

นางวิเชียร สารภาพว่า ใช้วิธีสุ่มเบอร์โทรศัพท์ไปตามเบอร์ต่าง ๆ โดยจะรอฟังปลายสายเรียกชื่อก่อน แล้วจึงสวมรอยเป็นคนตามชื่อที่ผู้เสียหายเ­รียก เมื่อผู้เสียหายเริ่มตายใจก็จะอ้างว่า ไม่สบายอยู่โรงพยาบาลให้ช่วยโอนเงินมาเป็น­ค่ารักษา หรือไม่ก็อ้างว่าเงินซื้อของไม่พอ ซึ่งแต่ละครั้งจะแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกผู้เ­สียหายไม่ซ้ำกัน โดยผู้เสียหายโอนเงินให้ตั้งแต่ 3 พัน ไปจนถึง 2 หมื่นบาท ทำให้ได้เงินไปหลายแสนบาท

นางมยุรี จันทร์น้อย ครูสอนหนังสือโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เสียหายกล่าวว่า เมื่อปลายปี 2557 นางวิเชียร โทรศัพท์เข้ามา แต่ไม่ยอมพูด จนกระทั่งนางมยุรี คิดว่าเป็นหลานสาว จึงเรียกชื่อหลานสาว นางวิเชียรจึงสวมรอยเป็นหลานสาว และอ้างว่ามาซื้อของที่ต่างจังหวัดแต่เงินไ­ม่พอ ให้โอนเงินให้ 2 หมื่นบาท แต่หลังจากโอนเงินเสร็จแล้วได้โทรศัพท์กลับไป­หาหลานตัวจริง จึงรู้ว่าถูกหลอก และเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อตำรวจเพื่อให้จับกุมดำเนินคดี
Read more ...

อุดรธานีจับ ทหารและตำรวจปลอม หลอกสาว

8/9/58
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2558 เวลา 11.00 น. ที่ สภ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี

พล.ต.ต.ชัยญัติ สายถิ่น ผบก.ภ.จว.อุดรธานี พร้อมด้วย
พล.ต.ธนกร จงอุตส่าห์ ผบ.มทบ.24 ค่ายประจักษ์ศิลปาคม
พ.อ.ประกาศิต อรดี รอง ผบ.มทบ.24
พ.ต.อ.ภูมิวิทย์ เวชกามา ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี
พ.ต.ท.ชาญณรงค์ มากพิสุทธิ์ รอง ผกก.สส.

ร่วมแถลงจับกุม

1. นายสันทัศน์ อุผำ อายุ 36 ปี หรือผู้กองต้น อยู่บ้านเลขที่ 198 หมู่ 15 ต.เชียงหวาง อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี

พร้อมของกลาง

- ชุดเครื่องแบบทหารบกประดับ ยศร้อยเอก 1 ชุด
- บัตรประจำตัวข้าราชการทหารปลอม 1 ใบ
- รถยนต์มาสด้า 2 สีขาว ทะเบียนจังหวัดหนองคาย 1 คัน

และ

2. นายทัตเทพ ครองยุติ อายุ 25 ปี หรือผู้หมวดโอม อยู่บ้านเลขที่ 38/10 ถ.ศรีสุข ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี 

พร้อมของกลาง

- ชุดเครื่องแบบตำรวจ ประดับยศ ร.ต.ท. 1 ชุด
- นามบัตรระบุชื่อ ร.ต.ท.ทัตเทพ ครองยุติ ตำแหน่ง รอง สว.สส.บก.ภ.4 ทำหน้าที่ปราบปรามสินค้าทางน้ำผิดกฎหมาย 1 ใบ

หลังมีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจหลอกลวงหญิงสาว

พล.ต.ต. ชัยญัติ เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากพยาบาลโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจ.อุดรธานี ว่ามีชายแต่งกายคล้ายทหารยศ ร.อ.มาติดพันเพื่อนพยาบาลจนมีความสนิทสนมกัน จากนั้นขอยืมเงิน 5 หมื่นบาทโดยอ้างว่าจะนำไปโอนที่ดินแล้วไม่ยอมคืน ทำให้สงสัยว่าจะเป็นทหารปลอม เนื่องจากมีเพื่อนหลายคนเคยเห็นทหารคนนี้ ไปหลอกลวงหญิงสาวในลักษณะเดียวกันอีกหลายพื้นที่ โดยอ้างตัวเป็น

ร.อ.ธนาวัฒน์ ศิลศิริ ตำแหน่ง ผบ.ร้อย ค่ายสีหราชเดโชไชย กรมทหารราบที่ 8 จ.ขอนแก่น

จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.ชาญณรงค์ นำกำลังฝ่ายสืบสวนออกตรวจสอบจนกระทั่งพบว่า ชายคนที่อ้างตัวเป็น ร.อ.ธนาวัฒน์ คือนายสันทัศน์ มีอาชีพเลี้ยงไก่ชนขายทางเว็บไซต์ และจับกุมได้ที่สถานีขนส่งแห่งที่ 2 จ.อุดรธานี ขณะกำลังจะเดินทางไปหลอกลวงหญิงสาวทางภาคเหนือ

เมื่อเข้าตรวจค้นบ้านพักก็พบเครื่องแบบทหารบกติดยศ ร.อ.ซุกซ่อนอยู่ จากการสอบสวนยังพบด้วยว่าเมื่อปี 51 นายสันทัศน์ ยังหลอกหญิงสาวว่าสามารถฝากเข้ารับราชการทหารได้ทำให้สูญเงินไปคนละ 3 หมื่นบาท

ด้าน พ.ต.ท.ชาญณรงค์ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหารายนี้หลอกหญิงสาวมาแล้วหลายราย ส่วนใหญ่จะเป็นพยาบาล

- รายแรก เป็นพยาบาลอยู่ที่คลินิกเสริมความงามที่ จ.หนองคาย อยู่กินกันนานกว่า 3 ปีต้องสูญรถยนต์เก๋งไป 1 คันพร้อมเงินสดอีกกว่า 1 แสนบาท

- อีกรายเป็นพยาบาลที่จ.อุดรธานี ถูกหลอกอยู่กินด้วยกันนาน 3 เดือนสูญเงินไป 5 หมื่นบาท

- รายล่าสุดเป็น นักเรียนชั้น ม.6 อายุเพียง 17 ปีคบหากันนาน 1 ปี โดยหลอกว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะมาสู่ขอ

- นอกจากนั้นยังไปหลอกลวงแม่ค้าขายพริกที่โคราช อยู่กินนาน 2 ปี และ

- สาวโรงงานที่ จ.กาฬสินธุ์ มีลูกด้วยกัน 1 คน อายุ 2 ขวบ ปัจจุบันแยกทางกันแล้ว

รวมแล้วมีหญิงสาว ตกเป็นเหยื่อมากกว่า 10 ราย สูญเสียทรัพย์สินรวมกันมากกว่า 1 ล้านบาท

ซึ่งผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่กล้าแจ้งความ เพราะเกิดความอับอาย

นายสันทัศน์ รับสารภาพว่า เรียนจบชั้นปวส.ที่กรุงเทพฯ แต่เรียน รด.จบชั้นปี 5 ได้ยศ ว่าที่ ร.ต. จากนั้นหาซื้อเครื่องแบบทหารมาติดยศ ร.อ. แล้วออกหลอกลวงหญิงสาวเพื่อหาเงินใช้และยังได้หลับนอนอยู่กินอย่างสบาย

ส่วนที่เลือกจีบสาวพยาบาลเพราะเห็นว่ามักชอบคนในเครื่องแบบ เวลาขับรถเก๋งผ่าน ด่านตรวจก็จะทำทีเป็นจอดแวะตรวจความเรียบร้อยและดื่มกาแฟ เพื่อสร้างความเชื่อถือให้กับสาว ๆ ที่ถูกหลอก ให้เชื่อว่าเป็นทหารจริง

พ.ต.ท.ชาญณรงค์กล่าวต่อว่า ส่วนนายทัตเทพ มีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังได้รับแจ้งจากพยาบาลสาวร.พ.แห่งหนึ่ง ขอให้ช่วยตรวจสอบชายที่แต่งกายเป็นตำรวจยศ ร.ต.ท. ที่กำลังจะแต่งงานกับเพื่อนพยาบาลในเดือน พ.ย.นี้ เพราะไม่เชื่อว่าเป็นตำรวจจริง

ฝ่ายสืบสวนจึงไปตรวจสอบที่ลานจอดรถภายในโรงพยาบาล พบ

รถยนต์ฮอนด้า สีขาว ทะเบียน กพ 4469 อุดรธานี

ภายในรถมีชายสวมเครื่องแบบตำรวจยศ ร.ต.ท.นั่งอยู่จึง เข้าสอบถาม โดยนายทัตเทพ อ้างว่าตัวเองชื่อ

หมวดโอม หรือ ร.ต.ท.ทัตเทพ ครองยุติ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 66 

แต่เมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบในสารบบตำรวจ จึงนำตัวไปสอบสวนจนยอมรับสารภาพว่า เครื่องแบบตำรวจเป็นของลุงที่เคยเป็นตำรวจในสังกัด บช.ภ.4 ซึ่งได้ขโมยเอามาสวมใส่เพื่อใช้หลอกหญิงสาว

รายล่าสุดเป็นพยาบาลสาวที่คบหากันมานาน 3 ปีและมีกำหนดจะแต่งงานกันในเดือน พ.ย.นี้ โดยได้เตรียมงานและถ่ายรูปพรีเวดดิ้งชุดแต่งงานที่ตนสวมเครื่องแบบตำรวจเต็ม ยศกันไว้แล้วด้วย จนกระทั่งถูกจับ

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา

นายสันทัศน์ ข้อหา

- แต่งเครื่องแบบทหารที่ทหารยังคงใช้ในราชการอยู่ โดยไม่มีสิทธิจะแต่งได้โดยชอบด้วยกฎหมาย 
- พรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 18 ปี 
- ฉ้อโกงทรัพย์โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น 

นายทัตเทพ ข้อหา

- แต่งเครื่องแบบตำรวจโดยไม่มีสิทธิ์ 

หากพบว่าเคยก่อเหตุหลอกลวงเหยื่อจนสูญเสียทรัพย์สินอีกก็จะแจ้งข้อหาเพิ่ม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
Read more ...

อส.ดอนตูม ยิงปลัดอาวุโสดับ

3/9/58
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 

เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2558 เวลา 15.45 น. 

นายสงบ สามเชียงพุฒ อายุ 49 ปี อส.อำเภอดอนตูม

ใช้อาวุธปืนส่วนตัวขนาด 9 มม. ยิง

นายรัตนะ รักงาม อายุ 39 ปี ปลัดอาวุโสอำเภอดอนตูม

ถึงแก่ความตาย

ที่เกิดเหตุอำเภอดอนตูมชั้น 1 

สาเหตุจากการไม่พอใจที่ถูกว่ากล่าวเรื่องที่จอดรถ จยย.ภายในที่ทำงาน

ชมคลิปวีดีโอ https://www.youtube.com/watch?v=HkbzktSZiTo
Read more ...

จับหนุ่มชัยภูมิ ปลอมตัวเป็นทหารเรือสายบุรี ขายกระสุนปืน

3/9/58
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ วันที่ 3 ก.ย.2558

เจ้าหน้าที่ได้จับกุม

นายอนุชิต สินธุชาติ อายุ 33 ปี

กรณีใส่เครื่องแบบเลียนแบบทหาร

จากการสอบสวนเบื้องต้น นายอนุชิต เคยเป็นนักเรียนจ่ารุ่นที่ 44 แต่เรียนไม่ อาศัยอยู่ที่บ้านกะลาพอ ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เปิดร้านขายอุปกรณ์ทางทหาร เริ่มใช้นามแฝงเป็นทหาร ในการทำใบขับขี่ครั้งแรก เมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นเริ่มแต่งเครื่องแบบทหารเรือในชั้นยศพันจ่าเอก และต่อมาใช้เครื่องแบบทหารเรือในชั้นยศเรือเอก เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว เพื่ออำนวยสะดวกในการเดินทางและการค้าขาย

นายอนุชิต เดิมเป็นคนจังหวัดชัยภูมิ มาแต่งงานใหม่กับภรรยาที่อำเภอสายบุรี ซึ่งมีอาชีพเป็นพยาบาล และได้รู้จักกับ นางสาวฝัน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในกองงานที่ 3 และมีการติดต่อซื้อขายเครื่องกระสุน ในราคาถูกเพื่อนำไปขายต่อในราคาสูงขึ้น เริ่มดำเนินการมาเมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว

ทั้งนี้ มีพี่เขย ยศ พันจ่าเอก สังกัดหน่วยทหารพัฒนาที่ 41 ในพื้นที่อำเภอสุไหงปาดี และมีพี่ภรรยาเป็นอดีตทหารพรานที่ 44 ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ได้จับกุมและส่งตัวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายแล้ว

ที่มา FB MTODAY
Read more ...