วันที่ 28 เม.ย.
พ.ต.ท.ชัยยา แก้วยก สว.(สอบสวน) สภ.เมืองบุรีรัมย์
คุมตัว
นายชนะกันต์ ดาวสันเทียะ อายุ 35 ปี ชาว ต.บ้านกอก อ.เมือง จ.นครราชสีมา
ผู้ต้องหาคดี ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน มาสอบสวนหลังจากถูก ตำรวจชุดปส.ภ.จว.บุรีรัมย์ ตามจับกุมได้ที่บ้านพักในพื้นที่ จ.นครราชสีมา
โดย พ.ต.ท.สมยศ พื้นชัยภูมิ ปฏิบัติหน้าที่ ศอ.ปส.ภ.จว.บุรีรัมย์ กล่าวว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก เจ้าหน้าที่ ได้ติดตามกลุ่มนักค้ายาเสพติด ที่นำยาบ้ามาส่งในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ และสามารถจับกุมคนร้ายพร้อมขยายผลไปล่อซื้อในหลายจังหวัดในเขตภาคอีสาน ได้ของกลางในแต่ละพื้นที่เป็นจำนวนมาก
ต่อมามีญาติผู้ต้องหายาเสพติด มาติดต่อขอพบ พ.ต.ท.สยาม เกียรติบรรจง ชุดขยายผลปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.บุรีรัมย์ พร้อมกับนำเงินสดมามอบให้ 20,000 บาท สร้างความสงสัยและมึนงงให้กับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมเป็นอย่างมาก
พ.ต.ท.สมยศ กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวมาสอบสวนจนทราบว่า ก่อนหน้าได้โอนเงินให้บุคคลคนหนึ่งไปจำนวนเงิน 30,000 บาท เนื่องจากมีคนโทรมาอ้างว่าเป็น
โดย พ.ต.ท.สมยศ พื้นชัยภูมิ ปฏิบัติหน้าที่ ศอ.ปส.ภ.จว.บุรีรัมย์ กล่าวว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก เจ้าหน้าที่ ได้ติดตามกลุ่มนักค้ายาเสพติด ที่นำยาบ้ามาส่งในเขตพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ และสามารถจับกุมคนร้ายพร้อมขยายผลไปล่อซื้อในหลายจังหวัดในเขตภาคอีสาน ได้ของกลางในแต่ละพื้นที่เป็นจำนวนมาก
ต่อมามีญาติผู้ต้องหายาเสพติด มาติดต่อขอพบ พ.ต.ท.สยาม เกียรติบรรจง ชุดขยายผลปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.บุรีรัมย์ พร้อมกับนำเงินสดมามอบให้ 20,000 บาท สร้างความสงสัยและมึนงงให้กับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมเป็นอย่างมาก
พ.ต.ท.สมยศ กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวมาสอบสวนจนทราบว่า ก่อนหน้าได้โอนเงินให้บุคคลคนหนึ่งไปจำนวนเงิน 30,000 บาท เนื่องจากมีคนโทรมาอ้างว่าเป็น
”รองสยาม” หรือ พ.ต.ท.สยาม เกียรติบรรจง
ว่าสามารถช่วยเหลือคดียาเสพติดได้ แต่มีค่าใช้จ่าย 50,000 บาท ตกลงจ่ายก่อน 30,000 บาท ที่เหลือให้มาจ่ายอีกที่บุรีรัมย์ จึงนำเงินมาจ่ายให้ตามสัญญา
ต่อมา พล.ต.ต.ชัยยุทธ เจียรศิริกุล ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตามผู้ที่อ้างตนเป็นตำรวจหลอกให้โอนเงินมาดำเนินคดี เพราะเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการตำรวจ จนสามารถจับกุมนายชนะกันต์ ได้ที่บ้านพักในพื้นที่โคราช
จากการสอบสวน นายชนะกานต์ ให้การรับสารภาพว่า เป็นคนโทรศัพท์แอบอ้างเป็นตำรวจจริง พร้อมให้การว่าตนเองเล่นอินเตอร์เน็ตกับโทรศัพท์ ก่อนเห็นเพจ”แจ้งข่าวชาวบุรีรัมย์”แจ้งเตือนขึ้นมา จึงกดเข้าไปดูพบว่ามีข่าวสารมากมาย และไปพบว่ามีการจับกุมยาเสพติด จึงเอาชื่อคนร้ายไปหาข้อมูลญาติผู้ต้องหาและตำรวจ จนกระทั่งรู้เบอร์โทรศัพท์ของญาติผู้ต้องหา
นายชนะกานต์ รับสารภาพต่อว่า จากนั้นได้โทรไปแอบอ้างว่าเป็นตำรวจว่าสามารถช่วยเหลือทางคดีได้ โดยใช้บัญชีธนาคารของเพื่อนน้องสาว ที่ฝากไว้ให้น้องสาวมานานแล้ว แต่ไม่เคยทำมาก่อนครั้งนี้เป็นครั้งแรก ส่วนเงินที่ได้รับโอนได้เอามานั้น ได้มอบให้ตำรวจไว้แล้ว 10,000 บาท ส่วนที่เหลือจะใช้คืนให้ผู้เสียหายจนครบจำนวน 50,000 บาทต่อไป
อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของงผู้ต้องหาว่าเคยก่อเหตุเป็นครั้งแรก เบื้องต้นแจ้งข้อหา
ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่า จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนอย่างละเอียดก่อนคุมตัวขออำนาจศาลเพื่อฝากขังต่อไป
ต่อมา พล.ต.ต.ชัยยุทธ เจียรศิริกุล ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตามผู้ที่อ้างตนเป็นตำรวจหลอกให้โอนเงินมาดำเนินคดี เพราะเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการตำรวจ จนสามารถจับกุมนายชนะกันต์ ได้ที่บ้านพักในพื้นที่โคราช
จากการสอบสวน นายชนะกานต์ ให้การรับสารภาพว่า เป็นคนโทรศัพท์แอบอ้างเป็นตำรวจจริง พร้อมให้การว่าตนเองเล่นอินเตอร์เน็ตกับโทรศัพท์ ก่อนเห็นเพจ”แจ้งข่าวชาวบุรีรัมย์”แจ้งเตือนขึ้นมา จึงกดเข้าไปดูพบว่ามีข่าวสารมากมาย และไปพบว่ามีการจับกุมยาเสพติด จึงเอาชื่อคนร้ายไปหาข้อมูลญาติผู้ต้องหาและตำรวจ จนกระทั่งรู้เบอร์โทรศัพท์ของญาติผู้ต้องหา
นายชนะกานต์ รับสารภาพต่อว่า จากนั้นได้โทรไปแอบอ้างว่าเป็นตำรวจว่าสามารถช่วยเหลือทางคดีได้ โดยใช้บัญชีธนาคารของเพื่อนน้องสาว ที่ฝากไว้ให้น้องสาวมานานแล้ว แต่ไม่เคยทำมาก่อนครั้งนี้เป็นครั้งแรก ส่วนเงินที่ได้รับโอนได้เอามานั้น ได้มอบให้ตำรวจไว้แล้ว 10,000 บาท ส่วนที่เหลือจะใช้คืนให้ผู้เสียหายจนครบจำนวน 50,000 บาทต่อไป
อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของงผู้ต้องหาว่าเคยก่อเหตุเป็นครั้งแรก เบื้องต้นแจ้งข้อหา
ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่า จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนอย่างละเอียดก่อนคุมตัวขออำนาจศาลเพื่อฝากขังต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น